วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง

เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาเรื่อง อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง ของนักเรียนชั้น ม.4
โรงเรียนสุรวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์ คณะผู้จัดทำได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้
-เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับอนุสาวรีย์
-เว็บไซต์การตั้งถิ่นฐานของจังหวัดสุรินทร์
เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับอนุสาวรีย์
สืบค้นจาก http://www.touronthai.com ความว่า อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ศรีณรงค์จางวาง (ปุม)
ความหมายของอนุสาวรีย์
          สิ่งที่สร้างไว้เป็นที่ระลึกถึงบุคคลหรือเหตุการณ์สําคัญเป็นต้น เช่น อาคาร หลุมฝังศพ รูปปั้น.
ที่มาของอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง
          อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง 2.2 เมตร มือขวาถือของ้าว อันเป็นการแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึกและเป็นเครื่องแสดงว่าสุรินทร์เป็นเมืองช้างมาแต่ดึกดำบรรพ์ รูปปั้นสะพายดาบคู่อยู่บนหลังอันหมายถึงความเป็นนักรบ ความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดเป็นมรดกของคนสุรินทร์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2528

 อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ทางด้านใต้ ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 ที่ถนนสุรินทร์-ปราสาท เป็นบริเวณที่เคยเป็นกำแพงเมืองชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์
อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง(ปุม) สำหรับวันที่เดินทางมาเก็บภาพวันนี้
เป็นวันที่มีงานประเพณีตักบาตรบนหลังช้าง ซึ่งเป็นงานใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสุรินทร์เมืองช้าง วันนี้จึงได้เห็นภาพอนุสาวรีย์แห่งนี้ประดับด้วยงาช้างขนาดใหญ่ 2 ข้าง กล่าวถึงเรื่องราวของเมืองสุรินทร์มีประวัติผูกพันกับช้างมายาวนานมากดังนี้

             ราวปีพุทธศักราช 2302 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) มีช้างเผือกแตกโรงจากกรุงศรีอยุธยามาอยู่ป่าดงบริเวณที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ จึงโปรดให้ขุนนางสองพี่น้อง (สันนิษฐานว่าคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท) คุมไพร่พลและกรมช้าง ออกตามจับได้ข่าวช้างเผือกจากกลุ่มชาวเขมรกวย คือเชียงปุม บ้านโคกเมืองที, ตากะจะ และเชียงขัน บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนใหญ่, ตาฆะ บ้านดงยาง (โคกอัจจะ) , เชียงสี บ้านกุดหวาย (บ้านเมืองเตา) 

          ทั้ง 5 คน ได้นำขุนนางสองพี่น้องไปจับช้างเผือก โดยใช้พิธีกรรมทางคชศาสตร์และนำส่งกลับกรุงศรีอยุธยา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ตากะจะ เป็นหลวงแก้วสุวรรณ, เชียงขัน เป็นหลวงปราบ, เชียงฆะ เป็นหลวงเพชร, เชียงสี เป็นหลวงศรีนครเตา, เชียงปุม เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี คุมผู้คนอยู่ในเขตของตนขึ้นกับเมืองพิมาย ต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดี ได้ย้ายชุมชนจากบ้านเมืองทีมาอยู่ที่ตำบลคูประทายสมัน ซึ่งเป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่ (อำเภอเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็น "พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง" ปกครองบ้านเมืองสืบมา
          สวนสาธารณะช้าง รูปปั้นช้างหลายตัวอยู่ในสวนสาธารณะด้านหนึ่งของอนุสาวรีย์ เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆ ที่จะได้มาพักผ่อนและถ่ายรูปที่นี่ ถัดไปเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ร่มรื่น

เว็บไซต์การตั้งถิ่นฐานและประวัติของจังหวัดสุรินทร์
สืบค้นจาก https://th.wikipedia.org ความว่า จังหวัดสุรินทร์
การตั้งถิ่นฐาน
  จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผา ยุคก่อนประวัติศาสตร์บริเวณจังหวัดสุรินทร์ และพบแหล่งชุมชนโบราณหลายแห่ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ มีผู้คนอาศัยนานมาแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ในปีพ.ศ. 2538 นายเจริญ ไวรวัจยกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ พร้อมคณะได้ศึกษาและเก็บข้อมูลชุมชนโบราณบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ ห้วยลำพลับพลาด้านบนและลำน้ำมูลด้านใต้ เนื่องจากพบเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จากการสำรวจสันนิษฐานว่าเนินเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง
นักมานุษยวิทยา และนักโบราณคดีลงความเห็นว่า บริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของแม่น้ำมูลด้านตะวันออกและชุมชนทุ่งสำริด ในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ และลุ่มแม่น้ำมูลชีตอนล่าง ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี คือแหล่งอารยธรรมโบราณ บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุคแรก ๆ ไม่มีลวดลายเขียนสี ในยุคต่อมาพัฒนาเป็นการเขียนสี และชุบน้ำโคลนสีแดง นอกจากนี้ยังได้ค้นพบหลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลงทางคติชนวิทยาที่สำคัญของมนุษยชาติ คือ ประเพณีฝังศพครั้งที่สองโดยการบรรจุกระดูกผู้ตายลงในภาชนะก่อนการนำไปฝัง ซึ่งการฝังครั้งแรกนั้นจะนำร่างผู้ตายลงในหลุมระยะหนึ่ง แล้วจึงขุดขึ้นเพื่อทำพิธีฝังครั้งที่สอง ลักษณะสำคัญของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่ง คือ โครงสร้างของชุมชนมักแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่อาศัยมักอยู่บนเนินหรือที่ดอน โดยรอบเป็นที่ลุ่มสำหรับเป็นแหล่งทำกิน ด้าน ตะวันออกส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานและด้านตะวันตกเป็นป่าช้า การขยายตัวของชุมชนมักขยายไปทางทิศตะวันตก ชุมชนเหล่านี้มีการขยายตัวทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองมีการสั่งสมหรือกวาดต้อนประชากรจากพื้นที่ต่าง ๆ จัดตั้งขยายเป็นชุมชนเมือง เป็นรัฐยุคต้นประวัติศาสตร์ ชุมชนเหล่านี้นี่เองที่หลอมรวมกันขึ้นเป็นอาณาจักรเจนละ หรืออีสานปุระ มีหลักฐานแสดงความเจริญหลายอย่าง เช่น การถลุงเหล็ก การทำเกลือ ปลูกข้าว การขุดคูกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรและความปลอดภัย
ประวัติเมืองสุรินทร์
  เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีวัฒนธรรมที่สั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน สิ่งที่ปรากฏหลักฐานบ่งบอกชัดเจน ได้แก่ คูเมือง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองหน้าด่านของขอม ดังที่[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต]] ทรงเรียบเรียง ถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในการรายงานตรวจราชการมณฑลอีสานและนครราชสีมา ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2469 ดังนี้
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองที่สร้างอย่างมั่นคงในปางก่อน มีคูถึง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพงเมือง น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าเป็นเมืองหน้าด่านทั้งทางตะวันออก และทางใต้ซึ่งมีช่องข้ามเขาบรรทัดต่อจังหวัดสุรินทร์อยู่หลายช่อง คือ ช่องปราสาทตาเมิน, ช่องเสม็ก, ช่องดอนแก้ว เป็นต้น ซึ่งมีทางเดินไปสู่ศรีโสภณ และเมืองจงกัน ยังมีคนและเกวียนเดินอยู่ทุกช่อง แต่เป็นทางลำบาก คงสะดวกแต่ช่องตะโก ต่อมาทางตะวันตก ซึ่งกรมทางได้ไปทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณเมืองสุรินทร์เป็นพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมตลอดปี แต่ก็ทำไร่นาได้ เป็นทุ่งใหญ่ บ้านเมืองกำลังจะเจริญขึ้น เพราะเป็นปลายทางรถไฟ มีห้องแถวคึกคักไม่หย่อนกว่าอุบล และกำลังสร้างทำอยู่อีกก็มีมาก
พลเมืองแห่งจังหวัดสุรินทร์เป็นเขมรเป็นชาวพื้นเมืองเช่น บุรีรัมย์บางส่วน นางรอง มีลาวเจือปนบ้างเป็นส่วนน้อย กับมีชาติส่วยอีกพวกหนึ่ง ซึ่งว่าพูดภาษาของตนต่างหาก ตามที่ผู้รู้กล่าวว่า พื้นเป็นภาษาเขมรเจือด้วยคำลาว พวกเขมรพลเมืองสุรินทร์ยังคงพูดภาษาเขมร อยู่ทั่วไปและที่กล่าวว่าไม่รู้ภาษาไทยก็มีต้องใช้ล่ามเนือง ๆ ผู้ปกครองท้องถิ่น เห็นว่าเป็นการดิ้นรน แสร้งทำเป็นพูดไทยไม่ได้ก็มีอยู่มาก แต่ในการปกครองไม่ปรากฏว่ามีความยากลำบากอะไรกว่าพลเมืองธรรมดา ในเรื่องของภาษาเขมรสอบสวนได้ความว่า วิชชาหนังสือขอมสูญแล้ว ไม่มีใครเรียน และไม่มีที่เรียน เพราะโรงเรียนสอนภาษาไทยอย่างเดียว เวลานี้มีแต่คนแก่ ๆ เท่านั้นที่รู้หนังสือขอม ได้เพียงนี้ก็เห็นว่าในทางปกครองที่จะให้เกิดเป็นสำนึกของคนไทย นับว่าได้ทำไปได้มากแล้ว ถ้าจัดการโรงเรียนให้เจริญขึ้นอีก และในต่อไปการคมนาคมกับกรุงเทพสะดวกขึ้น พลเมืองพวกนี้จะรู้สึกตัวเป็นไทยยิ่งขึ้นทุกวัน ทั้งการลูกเสือก็ย่อมเป็นปัจจัยช่วยในทางนี้อยู่มาก ส่วนการไปมาถึงกันกับพวกเขมรต่ำในการปกครองฝรั่งเศสนั้น สอบสวนได้ความว่ายังมีอยู่เสมอแต่มีข้างฝ่ายคนเรื่องเขมรต่ำอพยพเข้ามาอยู่ทางเราเสียมากกว่า ปีหนึ่ง เข้าประมาณ 50 คน โดยมากเป็นเรื่องหนีส่วยอากรที่ทางฝ่ายโน้นเก็บแรงกว่าทางนี้
จังหวัดสุรินทร์ มีลำดับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งทางด้านการปกครอง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง จากการตั้งบ้านเรือนที่มีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายในอดีต มาเป็นวิถีชีวิตที่สลับซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะการสะท้อนความเคลื่อนไหวของผู้คนที่มีมิติความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดเวลา อันเป็นลักษณะโดดเด่นของผู้คนชาวจังหวัดสุรินทร์
เว็บไซต์การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
สืบค้นจากเว็บไซต์ http://thaimonument.com ความว่า การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์พระบรมราชาอนุสาวรีย์พระมหากษัตริย์ของไทย
ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
1. ผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตดำเนินการสร้างอนุสาวรีย์ ในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ให้
ภาคเอกชน ให้ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร พร้อมจัดส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้
1.1 ประวัติอนุสาวรีย์ที่ประสงค์จะจัดสร้าง (ระบุเอกสารอ้างอิง)
1.2 เหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
1.3 ผังบริเวณสถานที่ที่จะสร้าง พร้อมกำหนดตำแหน่งที่จะติดตั้งอนุสาวรีย์ให้ชัดเจน
1.4 ลักษณะรูปแบบและขนาดของอนุสาวรีย์ที่จะจัดสร้าง
1.5 ระบุชื่อผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจัดสร้าง
ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการจ้างภาคเอกชนดำเนินการ ปั้น-หล่อ
ให้จัดส่งเอกสารคือ ชื่อประติมากร พร้อมประวัติและผลงานที่เคย ดำเนิน
การปั้นรูปเหมือนมาแล้วกับหน่วยงานที่สามารถตรวจสอบได้
2. หลักเกณฑ์การพิจารณาชองคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ
2.1 พิจารณาประวัติอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ตั้ง หรือ มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับหน่วย
งานที่ขออนุญาตดำเนินการสร้าง
2.2 พิจารณาเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
2.3มอบผู้แทนคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ ไปพิจารณาความเหมาะสมของสถานที่สร้างอนุสาวรีย์
2.4 พิจารณาประวัติและผลงานของประติมากร
3. เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
พิจารณาหลักฐานในข้อ ๒ แล้วจะให้ความเห็นดังนี้
3.1 เห็นชอบในหลักการสร้างอนุสาวรีย์
3.2เห็นชอบสถานที่จัดสร้าง และตำแหน่งที่ติดตั้งอนุสาวรีย์
3.3เห็นชอบประวัติและผลงานประติมากร
4.4 ให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปดังนี้
4.1 จัดส่งรูปต้นแบบ (รูปจำลอง) อนุสาวรีย์ที่ทำด้วยขี้ผึ้ง ดินน้ำมัน หรือปูนพลาสเตอร์
ขนาดความสูง ๑๐ ๑๒ นิ้ว
4.2 จัดส่งแบบแท่นประดิษฐาน บริเวณใกล้เคียงพร้อมผังบริเวณซึ่งเป็นแบบทาง
สถาปัตยกรรม โดยมีสถาปนิก และวิศวกรลงนามรับรอง
4.3 จัดส่งร่างคำจารึกอนุสาวรีย์
5. คณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญจะ
พิจารณาและให้ความเห็นชอบการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ตามหลักฐานในข้อ ๔
6. เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ให้ความเห็นชอบทุกขั้นตอนแล้วจะดำเนินการดังนี้
6.1 ในกรณีที่เป็นอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์
ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ จะต้องดำเนินการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติ
โดยให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุญาตสร้างอนุสาวรีย์จัดส่งเอกสารดังนี้
6.1.1 ตารางประกอบการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติตามที่
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนด (หนังสือที่ นร ๐๒๐๗/ว.๑๔๗
ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๑) จำนวน ๒ ชุด
6.1.2 ภาพถ่ายรูปต้นแบบขนาดโปสการ์ด รูปด้านหน้า ด้านหลัง
ด้านขวา และด้านซ้าย จำนวนด้านละ ๔ ภาพ
6.1.3 แบบแท่นฐาน จำนวน ๔ ชุด
6.1.4 คำจารึกอนุสาวรีย์
เอกสารตามขอ ๖.๑.3 ๖.๑.๔ ต้องเป็นเอกสารที่คณะกรรมการพิจารณา
การสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ ให้ความเห็นชอบแล้ว
6.2 ในกรณีที่พระราชทานพระบรมราชานุญาติ หรือ ไม่ได้รับพระราชทาน
พระบรมราชานุญาติ กรมศิลปากรจะแจ้งให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ทราบ
6.3 เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาติแล้ว จึงจะดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ
อนุสาวรีย์ได้ ซึ่งในการดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากรทราบ
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน
7. ถ้าอนุสาวรีย์ที่ขออนุญาตสร้างนั้นไม่ใช่อนุสาวรีย์เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ และพระบรม
วงศานุวงศ์ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ กรมศิลปากรจะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขออนุญาต
สร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งในการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากร
ทราบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น