วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อ้างอิง

อ้างอิง
Rambling Soul. อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง(ปุม). [ออนไลน์]. 
ได้จาก :http://www.touronthai.com.  สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน ๒๕๕๙.
การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์พระบรมราชาอนุสาวรีย์พระมหากษัตริย์ของ
          ไทย”. [ออนไลน์]. ได้จาก : http://thaimonument.com. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน ๒๕๕๙.
 “จังหวัดสุรินทร์”. [ออนไลน์].   ได้จาก : https://th.wikipedia.org. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน ๒๕๕๙.



ประวัติผู้จัดทำ

อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง

คณะผู้จัดทำ
                     ๑. นางสาวเขมิกา    เหรียญสมบูรณ์       เลขที่ ๓๓
๒. นางสาวเจนจิรา   เจนไธสง              เลขที่ ๓๔
๓. นายพีรพงษ์        บรรจุงาม            เลขที่ ๑๔
๔. นางสาวอลิศรา    ทับสนิท              เลขที่ ๔๑
๕.นางสาวปรางค์ประภา พันธ์สีดา         เลขที่ ๓๗
๖. นายอิสยาห์        ถาพรพาท            เลขที่ ๒๖
๗. นายธีรัช            แก่นจันทร์           เลขที่ ๓
๘. นายชนกันต์       ซ่อนจันทร์            เลขที่ ๕
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๗


คุณครูที่ปรึกษา
คุณครูปานชนก ขันอ่อน

โรงเรียนสุรวิทยาคาร
อำเภอเมือง  จังหวัดสุรินทร์
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาภาษาไทย
ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๙


วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บทที่ 5 สรุปผลการทำงานและข้อเสนอแนะ

บทที่ 5
สรุปผลการทำงานและข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการวิจัย
         อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง 2.2 เมตร มือขวาถือของ้าว เป็นการแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึกและเป็นเครื่องแสดงว่าสุรินทร์เป็นเมืองช้างตั้งแต่แต่ดึกดำบรรพ์ รูปปั้นสะพายดาบคู่อยู่บนหลังอันหมายถึงความเป็นนักรบ ความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดเป็นมรดกของคนสุรินทร์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2528

 5.2 อภิปราย
        5.2.1 จากการหาข้อมูลมา ตรงตามสมมุติฐาน เพราะอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระยาสุรินทร์ภักดี
        5.2.2 จากการหาข้อมูลมา ไม่ตรงตามสมมุติฐาน เพราะอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีสร้างขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2511
        5.2.3 จากการหาข้อมูลมา ไม่ตรงตามสมมุติฐาน เพราะอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
        5.2.4 จากการหาข้อมูลมา ตรงตามสมมุติฐาน เพราะอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวสุรินทร์

5.3 ข้อเสนอแนะ
        5.3.1 ผลงานวิจัยนี้สามารถนำไปเผยแพร่ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อดึงดูดความสนใจได้
        5.3.2 การทำวิจัยครั้งถัดไปควรจะจัดหาเวลาให้มีความพร้องมากขึ้นในการสำรวจ
       





บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

บทที่4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

จากการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากการค้นคว้าประวัติของอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีคณะผู้จัดทำได้รับความรู้ดังนี้
1.ได้รับความรู้เรื่องประวัติของอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดี
2.ได้รู้จักความหมายของคำว่าอนุสาวรีย์
ที่มาของอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง
          อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง 2.2 เมตร มือขวาถือของ้าว อันเป็นการแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึกและเป็นเครื่องแสดงว่าสุรินทร์เป็นเมืองช้างมาแต่ดึกดำบรรพ์ รูปปั้นสะพายดาบคู่อยู่บนหลังอันหมายถึงความเป็นนักรบ ความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดเป็นมรดกของคนสุรินทร์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2528

 อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ทางด้านใต้ ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 ที่ถนนสุรินทร์-ปราสาท เป็นบริเวณที่เคยเป็นกำแพงเมืองชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์

อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง(ปุม)











อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง(ปุม) สำหรับวันที่เดินทางมาเก็บภาพวันนี้
เป็นวันที่มีงานประเพณีตักบาตรบนหลังช้าง ซึ่งเป็นงานใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสุรินทร์เมืองช้าง วันนี้จึงได้เห็นภาพอนุสาวรีย์แห่งนี้ประดับด้วยงาช้างขนาดใหญ่ 2 ข้าง กล่าวถึงเรื่องราวของเมืองสุรินทร์มีประวัติผูกพันกับช้างมายาวนานมากดังนี้

             ราวปีพุทธศักราช 2302 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) มีช้างเผือกแตกโรงจากกรุงศรีอยุธยามาอยู่ป่าดงบริเวณที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ จึงโปรดให้ขุนนางสองพี่น้อง (สันนิษฐานว่าคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท) คุมไพร่พลและกรมช้าง ออกตามจับได้ข่าวช้างเผือกจากกลุ่มชาวเขมรกวย คือเชียงปุม บ้านโคกเมืองที, ตากะจะ และเชียงขัน บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนใหญ่, ตาฆะ บ้านดงยาง (โคกอัจจะ) , เชียงสี บ้านกุดหวาย (บ้านเมืองเตา) 

          ทั้ง 5 คน ได้นำขุนนางสองพี่น้องไปจับช้างเผือก โดยใช้พิธีกรรมทางคชศาสตร์และนำส่งกลับกรุงศรีอยุธยา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ตากะจะ เป็นหลวงแก้วสุวรรณ, เชียงขัน เป็นหลวงปราบ, เชียงฆะ เป็นหลวงเพชร, เชียงสี เป็นหลวงศรีนครเตา, เชียงปุม เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี คุมผู้คนอยู่ในเขตของตนขึ้นกับเมืองพิมาย ต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดี ได้ย้ายชุมชนจากบ้านเมืองทีมาอยู่ที่ตำบลคูประทายสมัน ซึ่งเป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่ (อำเภอเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็น "พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง" ปกครองบ้านเมืองสืบมา
สวนสาธารณะช้าง






          สวนสาธารณะช้าง รูปปั้นช้างหลายตัวอยู่ในสวนสาธารณะด้านหนึ่งของอนุสาวรีย์ เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆ ที่จะได้มาพักผ่อนและถ่ายรูปที่นี่ ถัดไปเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ร่มรื่น
ศาลปะกำเมือง
ศาลปะกำเมือง
เว็บไซต์การตั้งถิ่นฐานและประวัติของจังหวัดสุรินทร์
สืบค้นจาก https://th.wikipedia.org ความว่า จังหวัดสุรินทร์
การตั้งถิ่นฐาน
  จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผา ยุคก่อนประวัติศาสตร์บริเวณจังหวัดสุรินทร์ และพบแหล่งชุมชนโบราณหลายแห่ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ มีผู้คนอาศัยนานมาแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ในปีพ.ศ. 2538 นายเจริญ ไวรวัจยกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ พร้อมคณะได้ศึกษาและเก็บข้อมูลชุมชนโบราณบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ ห้วยลำพลับพลาด้านบนและลำน้ำมูลด้านใต้ เนื่องจากพบเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จากการสำรวจสันนิษฐานว่าเนินเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง
นักมานุษยวิทยา และนักโบราณคดีลงความเห็นว่า บริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของแม่น้ำมูลด้านตะวันออกและชุมชนทุ่งสำริด ในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ และลุ่มแม่น้ำมูลชีตอนล่าง ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี คือแหล่งอารยธรรมโบราณ บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุคแรก ๆ ไม่มีลวดลายเขียนสี ในยุคต่อมาพัฒนาเป็นการเขียนสี และชุบน้ำโคลนสีแดง นอกจากนี้ยังได้ค้นพบหลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลงทางคติชนวิทยาที่สำคัญของมนุษยชาติ คือ ประเพณีฝังศพครั้งที่สองโดยการบรรจุกระดูกผู้ตายลงในภาชนะก่อนการนำไปฝัง ซึ่งการฝังครั้งแรกนั้นจะนำร่างผู้ตายลงในหลุมระยะหนึ่ง แล้วจึงขุดขึ้นเพื่อทำพิธีฝังครั้งที่สอง ลักษณะสำคัญของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่ง คือ โครงสร้างของชุมชนมักแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่อาศัยมักอยู่บนเนินหรือที่ดอน โดยรอบเป็นที่ลุ่มสำหรับเป็นแหล่งทำกิน ด้าน ตะวันออกส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานและด้านตะวันตกเป็นป่าช้า การขยายตัวของชุมชนมักขยายไปทางทิศตะวันตก ชุมชนเหล่านี้มีการขยายตัวทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองมีการสั่งสมหรือกวาดต้อนประชากรจากพื้นที่ต่าง ๆ จัดตั้งขยายเป็นชุมชนเมือง เป็นรัฐยุคต้นประวัติศาสตร์ ชุมชนเหล่านี้นี่เองที่หลอมรวมกันขึ้นเป็นอาณาจักรเจนละ หรืออีสานปุระ มีหลักฐานแสดงความเจริญหลายอย่าง เช่น การถลุงเหล็ก การทำเกลือ ปลูกข้าว การขุดคูกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรและความปลอดภัย
ประวัติเมืองสุรินทร์
  เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีวัฒนธรรมที่สั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน สิ่งที่ปรากฏหลักฐานบ่งบอกชัดเจน ได้แก่ คูเมือง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองหน้าด่านของขอม ดังที่[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต]] ทรงเรียบเรียง ถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในการรายงานตรวจราชการมณฑลอีสานและนครราชสีมา ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2469 ดังนี้
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองที่สร้างอย่างมั่นคงในปางก่อน มีคูถึง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพงเมือง น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าเป็นเมืองหน้าด่านทั้งทางตะวันออก และทางใต้ซึ่งมีช่องข้ามเขาบรรทัดต่อจังหวัดสุรินทร์อยู่หลายช่อง คือ ช่องปราสาทตาเมิน, ช่องเสม็ก, ช่องดอนแก้ว เป็นต้น ซึ่งมีทางเดินไปสู่ศรีโสภณ และเมืองจงกัน ยังมีคนและเกวียนเดินอยู่ทุกช่อง แต่เป็นทางลำบาก คงสะดวกแต่ช่องตะโก ต่อมาทางตะวันตก ซึ่งกรมทางได้ไปทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณเมืองสุรินทร์เป็นพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมตลอดปี แต่ก็ทำไร่นาได้ เป็นทุ่งใหญ่ บ้านเมืองกำลังจะเจริญขึ้น เพราะเป็นปลายทางรถไฟ มีห้องแถวคึกคักไม่หย่อนกว่าอุบล และกำลังสร้างทำอยู่อีกก็มีมาก
พลเมืองแห่งจังหวัดสุรินทร์เป็นเขมรเป็นชาวพื้นเมืองเช่น บุรีรัมย์บางส่วน นางรอง มีลาวเจือปนบ้างเป็นส่วนน้อย กับมีชาติส่วยอีกพวกหนึ่ง ซึ่งว่าพูดภาษาของตนต่างหาก ตามที่ผู้รู้กล่าวว่า พื้นเป็นภาษาเขมรเจือด้วยคำลาว พวกเขมรพลเมืองสุรินทร์ยังคงพูดภาษาเขมร อยู่ทั่วไปและที่กล่าวว่าไม่รู้ภาษาไทยก็มีต้องใช้ล่ามเนือง ๆ ผู้ปกครองท้องถิ่น เห็นว่าเป็นการดิ้นรน แสร้งทำเป็นพูดไทยไม่ได้ก็มีอยู่มาก แต่ในการปกครองไม่ปรากฏว่ามีความยากลำบากอะไรกว่าพลเมืองธรรมดา ในเรื่องของภาษาเขมรสอบสวนได้ความว่า วิชชาหนังสือขอมสูญแล้ว ไม่มีใครเรียน และไม่มีที่เรียน เพราะโรงเรียนสอนภาษาไทยอย่างเดียว เวลานี้มีแต่คนแก่ ๆ เท่านั้นที่รู้หนังสือขอม ได้เพียงนี้ก็เห็นว่าในทางปกครองที่จะให้เกิดเป็นสำนึกของคนไทย นับว่าได้ทำไปได้มากแล้ว ถ้าจัดการโรงเรียนให้เจริญขึ้นอีก และในต่อไปการคมนาคมกับกรุงเทพสะดวกขึ้น พลเมืองพวกนี้จะรู้สึกตัวเป็นไทยยิ่งขึ้นทุกวัน ทั้งการลูกเสือก็ย่อมเป็นปัจจัยช่วยในทางนี้อยู่มาก ส่วนการไปมาถึงกันกับพวกเขมรต่ำในการปกครองฝรั่งเศสนั้น สอบสวนได้ความว่ายังมีอยู่เสมอแต่มีข้างฝ่ายคนเรื่องเขมรต่ำอพยพเข้ามาอยู่ทางเราเสียมากกว่า ปีหนึ่ง เข้าประมาณ 50 คน โดยมากเป็นเรื่องหนีส่วยอากรที่ทางฝ่ายโน้นเก็บแรงกว่าทางนี้
จังหวัดสุรินทร์ มีลำดับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งทางด้านการปกครอง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง จากการตั้งบ้านเรือนที่มีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายในอดีต มาเป็นวิถีชีวิตที่สลับซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะการสะท้อนความเคลื่อนไหวของผู้คนที่มีมิติความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดเวลา อันเป็นลักษณะโดดเด่นของผู้คนชาวจังหวัดสุรินทร์
เว็บไซต์การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
สืบค้นจากเว็บไซต์ http://thaimonument.com ความว่า การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์พระบรมราชาอนุสาวรีย์พระมหากษัตริย์ของไทย
ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
1. ผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตดำเนินการสร้างอนุสาวรีย์ ในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ให้
ภาคเอกชน ให้ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร พร้อมจัดส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้
1.1 ประวัติอนุสาวรีย์ที่ประสงค์จะจัดสร้าง (ระบุเอกสารอ้างอิง)
1.2 เหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
1.3 ผังบริเวณสถานที่ที่จะสร้าง พร้อมกำหนดตำแหน่งที่จะติดตั้งอนุสาวรีย์ให้ชัดเจน
1.4 ลักษณะรูปแบบและขนาดของอนุสาวรีย์ที่จะจัดสร้าง
1.5 ระบุชื่อผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจัดสร้าง
ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการจ้างภาคเอกชนดำเนินการ ปั้น-หล่อ
ให้จัดส่งเอกสารคือ ชื่อประติมากร พร้อมประวัติและผลงานที่เคย ดำเนิน
การปั้นรูปเหมือนมาแล้วกับหน่วยงานที่สามารถตรวจสอบได้
2. หลักเกณฑ์การพิจารณาชองคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ
2.1 พิจารณาประวัติอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ตั้ง หรือ มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับหน่วย
งานที่ขออนุญาตดำเนินการสร้าง
2.2 พิจารณาเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
2.3มอบผู้แทนคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ ไปพิจารณาความเหมาะสมของสถานที่สร้างอนุสาวรีย์
2.4 พิจารณาประวัติและผลงานของประติมากร
3. เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
พิจารณาหลักฐานในข้อ ๒ แล้วจะให้ความเห็นดังนี้
3.1 เห็นชอบในหลักการสร้างอนุสาวรีย์
3.2เห็นชอบสถานที่จัดสร้าง และตำแหน่งที่ติดตั้งอนุสาวรีย์
3.3เห็นชอบประวัติและผลงานประติมากร
4.4 ให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปดังนี้
4.1 จัดส่งรูปต้นแบบ (รูปจำลอง) อนุสาวรีย์ที่ทำด้วยขี้ผึ้ง ดินน้ำมัน หรือปูนพลาสเตอร์
ขนาดความสูง ๑๐ ๑๒ นิ้ว
4.2 จัดส่งแบบแท่นประดิษฐาน บริเวณใกล้เคียงพร้อมผังบริเวณซึ่งเป็นแบบทาง
สถาปัตยกรรม โดยมีสถาปนิก และวิศวกรลงนามรับรอง
4.3 จัดส่งร่างคำจารึกอนุสาวรีย์
5. คณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญจะ
พิจารณาและให้ความเห็นชอบการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ตามหลักฐานในข้อ ๔
6. เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ให้ความเห็นชอบทุกขั้นตอนแล้วจะดำเนินการดังนี้
6.1 ในกรณีที่เป็นอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์
ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ จะต้องดำเนินการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติ
โดยให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุญาตสร้างอนุสาวรีย์จัดส่งเอกสารดังนี้
6.1.1 ตารางประกอบการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติตามที่
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนด (หนังสือที่ นร ๐๒๐๗/ว.๑๔๗
ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๑) จำนวน ๒ ชุด
6.1.2 ภาพถ่ายรูปต้นแบบขนาดโปสการ์ด รูปด้านหน้า ด้านหลัง
ด้านขวา และด้านซ้าย จำนวนด้านละ ๔ ภาพ
6.1.3 แบบแท่นฐาน จำนวน ๔ ชุด
6.1.4 คำจารึกอนุสาวรีย์
เอกสารตามขอ 6.1.3 – 6.1.4 ต้องเป็นเอกสารที่คณะกรรมการพิจารณา
การสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ ให้ความเห็นชอบแล้ว
6.2 ในกรณีที่พระราชทานพระบรมราชานุญาติ หรือ ไม่ได้รับพระราชทาน
พระบรมราชานุญาติ กรมศิลปากรจะแจ้งให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ทราบ
6.3 เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาติแล้ว จึงจะดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ
อนุสาวรีย์ได้ ซึ่งในการดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากรทราบ
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน
7. ถ้าอนุสาวรีย์ที่ขออนุญาตสร้างนั้นไม่ใช่อนุสาวรีย์เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ และพระบรม
วงศานุวงศ์ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ กรมศิลปากรจะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขออนุญาต
สร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งในการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากร
ทราบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน”
 ความหมายของอนุสาวรีย์

          สิ่งที่สร้างไว้เป็นที่ระลึกถึงบุคคลหรือเหตุการณ์สําคัญเป็นต้น เช่น อาคาร หลุมฝังศพ รูปปั้น.

บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน

บทที่ ๓
วิธีดำเนินงาน

          วิธีดำเนินการ เป็นส่วนที่แสดงรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินการตามหัวข้อต่อไปนี้

.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง/แหล่งข้อมูล
      แหล่งข้อมูลที่ไปเก็บข้อมูลการศึกษาเรื่องนี้ที่ อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง ตั้งอยู่ที่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ทางด้านใต้ ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ ๑o ที่ถนนสุรินทร์-ปราสาท

๓.๒  เครื่องมือในการวิจัย 
      ๑.๒.๑ คอมพิวเตอร์
      ๑.๒.๒ สื่อออนไลน์ที่มีเนื้อหาของอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง
      ๑.๒.๓ กล้องถ่ายภาพ
      ๑.๒.๔ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถสืบค้นข้อมูลได้
      ๑.๒.๕ เครื่องพิมพ์เอกสาร
      ๑.๒.๖ เครื่องบันทึกเสียง


๓.๓ การเก็บรวบรวมข้อมูล
      ๓.๓.๑ การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำโครงงาน  คณะผู้จัดทำได้เรียนรู้เรื่องอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดี คณะผู้จัดทำจึงได้เลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำเป็นโครงงานหัวข้อนี้
      ๓.๓.๒ การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง คณะผู้จัดทำศึกษาหาความรู้เรื่อง อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดี จากการลงพื้นที่และสื่อออนไลน์ต่างๆ
      ๓.๓.๓ การทำเค้าโครงของโครงงาน คณะผู้จัดทำได้ทำเค้าโครงของโครงงานเรื่อง อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดี เสนอต่อครูที่ปรึกษาโครงงาน โดยครูที่ปรึกษาได้เสนอให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ที่ที่ผู้จัดทำต้องการศึกษา แล้วคณะผู้จัดทำเริ่มจัดทำโครงงานนี้
      ๓.๓.๔ การลงมือทำโครงงาน คณะผู้จัดทำได้ลงมือทำโครงงาน
      ๓.๓.๕ การเรียบเรียงและนำเสนอต่อครูที่ปรึกษา
      ๓.๓.๖ การแสดงผลงาน



.๔ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้

      เรื่องอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดี ใช้การบรรณยายแบบพรรณนา ไม่มีการใช้ข้อมูลสถิติมาเกี่ยวข้อง

บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง

เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาเรื่อง อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง ของนักเรียนชั้น ม.4
โรงเรียนสุรวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์ คณะผู้จัดทำได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้
-เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับอนุสาวรีย์
-เว็บไซต์การตั้งถิ่นฐานของจังหวัดสุรินทร์
เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับอนุสาวรีย์
สืบค้นจาก http://www.touronthai.com ความว่า อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ศรีณรงค์จางวาง (ปุม)
ความหมายของอนุสาวรีย์
          สิ่งที่สร้างไว้เป็นที่ระลึกถึงบุคคลหรือเหตุการณ์สําคัญเป็นต้น เช่น อาคาร หลุมฝังศพ รูปปั้น.
ที่มาของอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง
          อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง 2.2 เมตร มือขวาถือของ้าว อันเป็นการแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึกและเป็นเครื่องแสดงว่าสุรินทร์เป็นเมืองช้างมาแต่ดึกดำบรรพ์ รูปปั้นสะพายดาบคู่อยู่บนหลังอันหมายถึงความเป็นนักรบ ความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดเป็นมรดกของคนสุรินทร์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2528

 อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ทางด้านใต้ ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 ที่ถนนสุรินทร์-ปราสาท เป็นบริเวณที่เคยเป็นกำแพงเมืองชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์
อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง(ปุม) สำหรับวันที่เดินทางมาเก็บภาพวันนี้
เป็นวันที่มีงานประเพณีตักบาตรบนหลังช้าง ซึ่งเป็นงานใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสุรินทร์เมืองช้าง วันนี้จึงได้เห็นภาพอนุสาวรีย์แห่งนี้ประดับด้วยงาช้างขนาดใหญ่ 2 ข้าง กล่าวถึงเรื่องราวของเมืองสุรินทร์มีประวัติผูกพันกับช้างมายาวนานมากดังนี้

             ราวปีพุทธศักราช 2302 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) มีช้างเผือกแตกโรงจากกรุงศรีอยุธยามาอยู่ป่าดงบริเวณที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ จึงโปรดให้ขุนนางสองพี่น้อง (สันนิษฐานว่าคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท) คุมไพร่พลและกรมช้าง ออกตามจับได้ข่าวช้างเผือกจากกลุ่มชาวเขมรกวย คือเชียงปุม บ้านโคกเมืองที, ตากะจะ และเชียงขัน บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนใหญ่, ตาฆะ บ้านดงยาง (โคกอัจจะ) , เชียงสี บ้านกุดหวาย (บ้านเมืองเตา) 

          ทั้ง 5 คน ได้นำขุนนางสองพี่น้องไปจับช้างเผือก โดยใช้พิธีกรรมทางคชศาสตร์และนำส่งกลับกรุงศรีอยุธยา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ตากะจะ เป็นหลวงแก้วสุวรรณ, เชียงขัน เป็นหลวงปราบ, เชียงฆะ เป็นหลวงเพชร, เชียงสี เป็นหลวงศรีนครเตา, เชียงปุม เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี คุมผู้คนอยู่ในเขตของตนขึ้นกับเมืองพิมาย ต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดี ได้ย้ายชุมชนจากบ้านเมืองทีมาอยู่ที่ตำบลคูประทายสมัน ซึ่งเป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่ (อำเภอเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็น "พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง" ปกครองบ้านเมืองสืบมา
          สวนสาธารณะช้าง รูปปั้นช้างหลายตัวอยู่ในสวนสาธารณะด้านหนึ่งของอนุสาวรีย์ เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆ ที่จะได้มาพักผ่อนและถ่ายรูปที่นี่ ถัดไปเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ร่มรื่น

เว็บไซต์การตั้งถิ่นฐานและประวัติของจังหวัดสุรินทร์
สืบค้นจาก https://th.wikipedia.org ความว่า จังหวัดสุรินทร์
การตั้งถิ่นฐาน
  จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผา ยุคก่อนประวัติศาสตร์บริเวณจังหวัดสุรินทร์ และพบแหล่งชุมชนโบราณหลายแห่ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ มีผู้คนอาศัยนานมาแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ในปีพ.ศ. 2538 นายเจริญ ไวรวัจยกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ พร้อมคณะได้ศึกษาและเก็บข้อมูลชุมชนโบราณบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ ห้วยลำพลับพลาด้านบนและลำน้ำมูลด้านใต้ เนื่องจากพบเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จากการสำรวจสันนิษฐานว่าเนินเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง
นักมานุษยวิทยา และนักโบราณคดีลงความเห็นว่า บริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของแม่น้ำมูลด้านตะวันออกและชุมชนทุ่งสำริด ในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ และลุ่มแม่น้ำมูลชีตอนล่าง ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี คือแหล่งอารยธรรมโบราณ บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุคแรก ๆ ไม่มีลวดลายเขียนสี ในยุคต่อมาพัฒนาเป็นการเขียนสี และชุบน้ำโคลนสีแดง นอกจากนี้ยังได้ค้นพบหลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลงทางคติชนวิทยาที่สำคัญของมนุษยชาติ คือ ประเพณีฝังศพครั้งที่สองโดยการบรรจุกระดูกผู้ตายลงในภาชนะก่อนการนำไปฝัง ซึ่งการฝังครั้งแรกนั้นจะนำร่างผู้ตายลงในหลุมระยะหนึ่ง แล้วจึงขุดขึ้นเพื่อทำพิธีฝังครั้งที่สอง ลักษณะสำคัญของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่ง คือ โครงสร้างของชุมชนมักแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่อาศัยมักอยู่บนเนินหรือที่ดอน โดยรอบเป็นที่ลุ่มสำหรับเป็นแหล่งทำกิน ด้าน ตะวันออกส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานและด้านตะวันตกเป็นป่าช้า การขยายตัวของชุมชนมักขยายไปทางทิศตะวันตก ชุมชนเหล่านี้มีการขยายตัวทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองมีการสั่งสมหรือกวาดต้อนประชากรจากพื้นที่ต่าง ๆ จัดตั้งขยายเป็นชุมชนเมือง เป็นรัฐยุคต้นประวัติศาสตร์ ชุมชนเหล่านี้นี่เองที่หลอมรวมกันขึ้นเป็นอาณาจักรเจนละ หรืออีสานปุระ มีหลักฐานแสดงความเจริญหลายอย่าง เช่น การถลุงเหล็ก การทำเกลือ ปลูกข้าว การขุดคูกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรและความปลอดภัย
ประวัติเมืองสุรินทร์
  เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีวัฒนธรรมที่สั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน สิ่งที่ปรากฏหลักฐานบ่งบอกชัดเจน ได้แก่ คูเมือง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองหน้าด่านของขอม ดังที่[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต]] ทรงเรียบเรียง ถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในการรายงานตรวจราชการมณฑลอีสานและนครราชสีมา ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2469 ดังนี้
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองที่สร้างอย่างมั่นคงในปางก่อน มีคูถึง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพงเมือง น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าเป็นเมืองหน้าด่านทั้งทางตะวันออก และทางใต้ซึ่งมีช่องข้ามเขาบรรทัดต่อจังหวัดสุรินทร์อยู่หลายช่อง คือ ช่องปราสาทตาเมิน, ช่องเสม็ก, ช่องดอนแก้ว เป็นต้น ซึ่งมีทางเดินไปสู่ศรีโสภณ และเมืองจงกัน ยังมีคนและเกวียนเดินอยู่ทุกช่อง แต่เป็นทางลำบาก คงสะดวกแต่ช่องตะโก ต่อมาทางตะวันตก ซึ่งกรมทางได้ไปทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณเมืองสุรินทร์เป็นพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมตลอดปี แต่ก็ทำไร่นาได้ เป็นทุ่งใหญ่ บ้านเมืองกำลังจะเจริญขึ้น เพราะเป็นปลายทางรถไฟ มีห้องแถวคึกคักไม่หย่อนกว่าอุบล และกำลังสร้างทำอยู่อีกก็มีมาก
พลเมืองแห่งจังหวัดสุรินทร์เป็นเขมรเป็นชาวพื้นเมืองเช่น บุรีรัมย์บางส่วน นางรอง มีลาวเจือปนบ้างเป็นส่วนน้อย กับมีชาติส่วยอีกพวกหนึ่ง ซึ่งว่าพูดภาษาของตนต่างหาก ตามที่ผู้รู้กล่าวว่า พื้นเป็นภาษาเขมรเจือด้วยคำลาว พวกเขมรพลเมืองสุรินทร์ยังคงพูดภาษาเขมร อยู่ทั่วไปและที่กล่าวว่าไม่รู้ภาษาไทยก็มีต้องใช้ล่ามเนือง ๆ ผู้ปกครองท้องถิ่น เห็นว่าเป็นการดิ้นรน แสร้งทำเป็นพูดไทยไม่ได้ก็มีอยู่มาก แต่ในการปกครองไม่ปรากฏว่ามีความยากลำบากอะไรกว่าพลเมืองธรรมดา ในเรื่องของภาษาเขมรสอบสวนได้ความว่า วิชชาหนังสือขอมสูญแล้ว ไม่มีใครเรียน และไม่มีที่เรียน เพราะโรงเรียนสอนภาษาไทยอย่างเดียว เวลานี้มีแต่คนแก่ ๆ เท่านั้นที่รู้หนังสือขอม ได้เพียงนี้ก็เห็นว่าในทางปกครองที่จะให้เกิดเป็นสำนึกของคนไทย นับว่าได้ทำไปได้มากแล้ว ถ้าจัดการโรงเรียนให้เจริญขึ้นอีก และในต่อไปการคมนาคมกับกรุงเทพสะดวกขึ้น พลเมืองพวกนี้จะรู้สึกตัวเป็นไทยยิ่งขึ้นทุกวัน ทั้งการลูกเสือก็ย่อมเป็นปัจจัยช่วยในทางนี้อยู่มาก ส่วนการไปมาถึงกันกับพวกเขมรต่ำในการปกครองฝรั่งเศสนั้น สอบสวนได้ความว่ายังมีอยู่เสมอแต่มีข้างฝ่ายคนเรื่องเขมรต่ำอพยพเข้ามาอยู่ทางเราเสียมากกว่า ปีหนึ่ง เข้าประมาณ 50 คน โดยมากเป็นเรื่องหนีส่วยอากรที่ทางฝ่ายโน้นเก็บแรงกว่าทางนี้
จังหวัดสุรินทร์ มีลำดับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งทางด้านการปกครอง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง จากการตั้งบ้านเรือนที่มีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายในอดีต มาเป็นวิถีชีวิตที่สลับซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะการสะท้อนความเคลื่อนไหวของผู้คนที่มีมิติความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดเวลา อันเป็นลักษณะโดดเด่นของผู้คนชาวจังหวัดสุรินทร์
เว็บไซต์การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
สืบค้นจากเว็บไซต์ http://thaimonument.com ความว่า การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์พระบรมราชาอนุสาวรีย์พระมหากษัตริย์ของไทย
ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
1. ผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตดำเนินการสร้างอนุสาวรีย์ ในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ให้
ภาคเอกชน ให้ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร พร้อมจัดส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้
1.1 ประวัติอนุสาวรีย์ที่ประสงค์จะจัดสร้าง (ระบุเอกสารอ้างอิง)
1.2 เหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
1.3 ผังบริเวณสถานที่ที่จะสร้าง พร้อมกำหนดตำแหน่งที่จะติดตั้งอนุสาวรีย์ให้ชัดเจน
1.4 ลักษณะรูปแบบและขนาดของอนุสาวรีย์ที่จะจัดสร้าง
1.5 ระบุชื่อผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจัดสร้าง
ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการจ้างภาคเอกชนดำเนินการ ปั้น-หล่อ
ให้จัดส่งเอกสารคือ ชื่อประติมากร พร้อมประวัติและผลงานที่เคย ดำเนิน
การปั้นรูปเหมือนมาแล้วกับหน่วยงานที่สามารถตรวจสอบได้
2. หลักเกณฑ์การพิจารณาชองคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ
2.1 พิจารณาประวัติอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ตั้ง หรือ มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับหน่วย
งานที่ขออนุญาตดำเนินการสร้าง
2.2 พิจารณาเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
2.3มอบผู้แทนคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ ไปพิจารณาความเหมาะสมของสถานที่สร้างอนุสาวรีย์
2.4 พิจารณาประวัติและผลงานของประติมากร
3. เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
พิจารณาหลักฐานในข้อ ๒ แล้วจะให้ความเห็นดังนี้
3.1 เห็นชอบในหลักการสร้างอนุสาวรีย์
3.2เห็นชอบสถานที่จัดสร้าง และตำแหน่งที่ติดตั้งอนุสาวรีย์
3.3เห็นชอบประวัติและผลงานประติมากร
4.4 ให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปดังนี้
4.1 จัดส่งรูปต้นแบบ (รูปจำลอง) อนุสาวรีย์ที่ทำด้วยขี้ผึ้ง ดินน้ำมัน หรือปูนพลาสเตอร์
ขนาดความสูง ๑๐ ๑๒ นิ้ว
4.2 จัดส่งแบบแท่นประดิษฐาน บริเวณใกล้เคียงพร้อมผังบริเวณซึ่งเป็นแบบทาง
สถาปัตยกรรม โดยมีสถาปนิก และวิศวกรลงนามรับรอง
4.3 จัดส่งร่างคำจารึกอนุสาวรีย์
5. คณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญจะ
พิจารณาและให้ความเห็นชอบการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ตามหลักฐานในข้อ ๔
6. เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ให้ความเห็นชอบทุกขั้นตอนแล้วจะดำเนินการดังนี้
6.1 ในกรณีที่เป็นอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์
ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ จะต้องดำเนินการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติ
โดยให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุญาตสร้างอนุสาวรีย์จัดส่งเอกสารดังนี้
6.1.1 ตารางประกอบการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติตามที่
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนด (หนังสือที่ นร ๐๒๐๗/ว.๑๔๗
ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๑) จำนวน ๒ ชุด
6.1.2 ภาพถ่ายรูปต้นแบบขนาดโปสการ์ด รูปด้านหน้า ด้านหลัง
ด้านขวา และด้านซ้าย จำนวนด้านละ ๔ ภาพ
6.1.3 แบบแท่นฐาน จำนวน ๔ ชุด
6.1.4 คำจารึกอนุสาวรีย์
เอกสารตามขอ ๖.๑.3 ๖.๑.๔ ต้องเป็นเอกสารที่คณะกรรมการพิจารณา
การสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ ให้ความเห็นชอบแล้ว
6.2 ในกรณีที่พระราชทานพระบรมราชานุญาติ หรือ ไม่ได้รับพระราชทาน
พระบรมราชานุญาติ กรมศิลปากรจะแจ้งให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ทราบ
6.3 เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาติแล้ว จึงจะดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ
อนุสาวรีย์ได้ ซึ่งในการดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากรทราบ
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน
7. ถ้าอนุสาวรีย์ที่ขออนุญาตสร้างนั้นไม่ใช่อนุสาวรีย์เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ และพระบรม
วงศานุวงศ์ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ กรมศิลปากรจะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขออนุญาต
สร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งในการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากร
ทราบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน”