เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาเรื่อง
อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง ของนักเรียนชั้น ม.4
โรงเรียนสุรวิทยาคาร
จังหวัดสุรินทร์ คณะผู้จัดทำได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้
-เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับอนุสาวรีย์
-เว็บไซต์การตั้งถิ่นฐานของจังหวัดสุรินทร์
เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับอนุสาวรีย์
สืบค้นจาก
http://www.touronthai.com
ความว่า “อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ศรีณรงค์จางวาง
(ปุม)
ความหมายของอนุสาวรีย์
สิ่งที่สร้างไว้เป็นที่ระลึกถึงบุคคลหรือเหตุการณ์สําคัญเป็นต้น เช่น อาคาร
หลุมฝังศพ รูปปั้น.
ที่มาของอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง
อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง 2.2 เมตร มือขวาถือของ้าว
อันเป็นการแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึกและเป็นเครื่องแสดงว่าสุรินทร์เป็นเมืองช้างมาแต่ดึกดำบรรพ์
รูปปั้นสะพายดาบคู่อยู่บนหลังอันหมายถึงความเป็นนักรบ
ความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดเป็นมรดกของคนสุรินทร์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511
เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก
ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่
13 เมษายน 2528
อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ทางด้านใต้
ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 ที่ถนนสุรินทร์-ปราสาท
เป็นบริเวณที่เคยเป็นกำแพงเมืองชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์
อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง(ปุม) สำหรับวันที่เดินทางมาเก็บภาพวันนี้
เป็นวันที่มีงานประเพณีตักบาตรบนหลังช้าง
ซึ่งเป็นงานใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสุรินทร์เมืองช้าง
วันนี้จึงได้เห็นภาพอนุสาวรีย์แห่งนี้ประดับด้วยงาช้างขนาดใหญ่ 2 ข้าง กล่าวถึงเรื่องราวของเมืองสุรินทร์มีประวัติผูกพันกับช้างมายาวนานมากดังนี้
ราวปีพุทธศักราช 2302 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์
(พระเจ้าเอกทัศน์)
มีช้างเผือกแตกโรงจากกรุงศรีอยุธยามาอยู่ป่าดงบริเวณที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ จึงโปรดให้ขุนนางสองพี่น้อง
(สันนิษฐานว่าคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และสมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท) คุมไพร่พลและกรมช้าง
ออกตามจับได้ข่าวช้างเผือกจากกลุ่มชาวเขมรกวย คือเชียงปุม บ้านโคกเมืองที, ตากะจะ และเชียงขัน บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนใหญ่, ตาฆะ บ้านดงยาง (โคกอัจจะ) , เชียงสี บ้านกุดหวาย
(บ้านเมืองเตา)
ทั้ง 5 คน
ได้นำขุนนางสองพี่น้องไปจับช้างเผือก
โดยใช้พิธีกรรมทางคชศาสตร์และนำส่งกลับกรุงศรีอยุธยา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ตากะจะ
เป็นหลวงแก้วสุวรรณ, เชียงขัน เป็นหลวงปราบ, เชียงฆะ เป็นหลวงเพชร, เชียงสี เป็นหลวงศรีนครเตา,
เชียงปุม เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี
คุมผู้คนอยู่ในเขตของตนขึ้นกับเมืองพิมาย ต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดี
ได้ย้ายชุมชนจากบ้านเมืองทีมาอยู่ที่ตำบลคูประทายสมัน ซึ่งเป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่
(อำเภอเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็น
"พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง" ปกครองบ้านเมืองสืบมา
สวนสาธารณะช้าง รูปปั้นช้างหลายตัวอยู่ในสวนสาธารณะด้านหนึ่งของอนุสาวรีย์
เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆ ที่จะได้มาพักผ่อนและถ่ายรูปที่นี่
ถัดไปเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ร่มรื่น
เว็บไซต์การตั้งถิ่นฐานและประวัติของจังหวัดสุรินทร์
สืบค้นจาก
https://th.wikipedia.org “ความว่า จังหวัดสุรินทร์
การตั้งถิ่นฐาน
จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผา ยุคก่อนประวัติศาสตร์บริเวณจังหวัดสุรินทร์
และพบแหล่งชุมชนโบราณหลายแห่ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์
มีผู้คนอาศัยนานมาแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
นักมานุษยวิทยา และนักโบราณคดีลงความเห็นว่า
บริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของแม่น้ำมูลด้านตะวันออกและชุมชนทุ่งสำริด ในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์
และลุ่มแม่น้ำมูลชีตอนล่าง ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี คือแหล่งอารยธรรมโบราณ
บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุคแรก ๆ
ไม่มีลวดลายเขียนสี ในยุคต่อมาพัฒนาเป็นการเขียนสี และชุบน้ำโคลนสีแดง
นอกจากนี้ยังได้ค้นพบหลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลงทางคติชนวิทยาที่สำคัญของมนุษยชาติ คือ
ประเพณีฝังศพครั้งที่สองโดยการบรรจุกระดูกผู้ตายลงในภาชนะก่อนการนำไปฝัง
ซึ่งการฝังครั้งแรกนั้นจะนำร่างผู้ตายลงในหลุมระยะหนึ่ง
แล้วจึงขุดขึ้นเพื่อทำพิธีฝังครั้งที่สอง ลักษณะสำคัญของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่ง
คือ โครงสร้างของชุมชนมักแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
ส่วนที่อยู่อาศัยมักอยู่บนเนินหรือที่ดอน โดยรอบเป็นที่ลุ่มสำหรับเป็นแหล่งทำกิน
ด้าน ตะวันออกส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานและด้านตะวันตกเป็นป่าช้า
การขยายตัวของชุมชนมักขยายไปทางทิศตะวันตก
ชุมชนเหล่านี้มีการขยายตัวทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองมีการสั่งสมหรือกวาดต้อนประชากรจากพื้นที่ต่าง
ๆ จัดตั้งขยายเป็นชุมชนเมือง เป็นรัฐยุคต้นประวัติศาสตร์
ชุมชนเหล่านี้นี่เองที่หลอมรวมกันขึ้นเป็นอาณาจักรเจนละ หรืออีสานปุระ มีหลักฐานแสดงความเจริญหลายอย่าง
เช่น การถลุงเหล็ก การทำเกลือ ปลูกข้าว
การขุดคูกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรและความปลอดภัย
ประวัติเมืองสุรินทร์
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนาน
มีวัฒนธรรมที่สั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน
สิ่งที่ปรากฏหลักฐานบ่งบอกชัดเจน ได้แก่ คูเมือง 3 ชั้น
มีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองหน้าด่านของขอม ดังที่[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต]] ทรงเรียบเรียง ถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในการรายงานตรวจราชการมณฑลอีสานและนครราชสีมา ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2469 ดังนี้
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองที่สร้างอย่างมั่นคงในปางก่อน
มีคูถึง 3 ชั้น
มีเนินดินเป็นกำแพงเมือง น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าเป็นเมืองหน้าด่านทั้งทางตะวันออก
และทางใต้ซึ่งมีช่องข้ามเขาบรรทัดต่อจังหวัดสุรินทร์อยู่หลายช่อง คือ
ช่องปราสาทตาเมิน, ช่องเสม็ก, ช่องดอนแก้ว
เป็นต้น ซึ่งมีทางเดินไปสู่ศรีโสภณ และเมืองจงกัน ยังมีคนและเกวียนเดินอยู่ทุกช่อง
แต่เป็นทางลำบาก คงสะดวกแต่ช่องตะโก ต่อมาทางตะวันตก
ซึ่งกรมทางได้ไปทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณเมืองสุรินทร์เป็นพื้นที่ลุ่ม
น้ำท่วมตลอดปี แต่ก็ทำไร่นาได้ เป็นทุ่งใหญ่ บ้านเมืองกำลังจะเจริญขึ้น
เพราะเป็นปลายทางรถไฟ มีห้องแถวคึกคักไม่หย่อนกว่าอุบล
และกำลังสร้างทำอยู่อีกก็มีมาก
พลเมืองแห่งจังหวัดสุรินทร์เป็นเขมรเป็นชาวพื้นเมืองเช่น บุรีรัมย์บางส่วน นางรอง มีลาวเจือปนบ้างเป็นส่วนน้อย
กับมีชาติส่วยอีกพวกหนึ่ง ซึ่งว่าพูดภาษาของตนต่างหาก ตามที่ผู้รู้กล่าวว่า
พื้นเป็นภาษาเขมรเจือด้วยคำลาว พวกเขมรพลเมืองสุรินทร์ยังคงพูดภาษาเขมร
อยู่ทั่วไปและที่กล่าวว่าไม่รู้ภาษาไทยก็มีต้องใช้ล่ามเนือง ๆ ผู้ปกครองท้องถิ่น
เห็นว่าเป็นการดิ้นรน แสร้งทำเป็นพูดไทยไม่ได้ก็มีอยู่มาก แต่ในการปกครองไม่ปรากฏว่ามีความยากลำบากอะไรกว่าพลเมืองธรรมดา
ในเรื่องของภาษาเขมรสอบสวนได้ความว่า วิชชาหนังสือขอมสูญแล้ว ไม่มีใครเรียน
และไม่มีที่เรียน เพราะโรงเรียนสอนภาษาไทยอย่างเดียว เวลานี้มีแต่คนแก่ ๆ
เท่านั้นที่รู้หนังสือขอม ได้เพียงนี้ก็เห็นว่าในทางปกครองที่จะให้เกิดเป็นสำนึกของคนไทย
นับว่าได้ทำไปได้มากแล้ว ถ้าจัดการโรงเรียนให้เจริญขึ้นอีก
และในต่อไปการคมนาคมกับกรุงเทพสะดวกขึ้น
พลเมืองพวกนี้จะรู้สึกตัวเป็นไทยยิ่งขึ้นทุกวัน
ทั้งการลูกเสือก็ย่อมเป็นปัจจัยช่วยในทางนี้อยู่มาก
ส่วนการไปมาถึงกันกับพวกเขมรต่ำในการปกครองฝรั่งเศสนั้น
สอบสวนได้ความว่ายังมีอยู่เสมอแต่มีข้างฝ่ายคนเรื่องเขมรต่ำอพยพเข้ามาอยู่ทางเราเสียมากกว่า
ปีหนึ่ง เข้าประมาณ 50 คน
โดยมากเป็นเรื่องหนีส่วยอากรที่ทางฝ่ายโน้นเก็บแรงกว่าทางนี้
จังหวัดสุรินทร์
มีลำดับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งทางด้านการปกครอง สังคม
เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
จากการตั้งบ้านเรือนที่มีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายในอดีต
มาเป็นวิถีชีวิตที่สลับซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน
โดยเฉพาะการสะท้อนความเคลื่อนไหวของผู้คนที่มีมิติความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดเวลา
อันเป็นลักษณะโดดเด่นของผู้คนชาวจังหวัดสุรินทร์”
เว็บไซต์การสร้างอนุสาวรีย์
ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
สืบค้นจากเว็บไซต์ http://thaimonument.com “ ความว่า การสร้างอนุสาวรีย์ ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์พระบรมราชาอนุสาวรีย์พระมหากษัตริย์ของไทย
ขั้นตอนการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์
1.
ผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตดำเนินการสร้างอนุสาวรีย์ ในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
ให้
ภาคเอกชน
ให้ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร พร้อมจัดส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้
1.1 ประวัติอนุสาวรีย์ที่ประสงค์จะจัดสร้าง (ระบุเอกสารอ้างอิง)
1.2 เหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
1.3 ผังบริเวณสถานที่ที่จะสร้าง
พร้อมกำหนดตำแหน่งที่จะติดตั้งอนุสาวรีย์ให้ชัดเจน
1.4 ลักษณะรูปแบบและขนาดของอนุสาวรีย์ที่จะจัดสร้าง
1.5
ระบุชื่อผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจัดสร้าง
ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการจ้างภาคเอกชนดำเนินการ
ปั้น-หล่อ
ให้จัดส่งเอกสารคือ ชื่อประติมากร
พร้อมประวัติและผลงานที่เคย ดำเนิน
การปั้นรูปเหมือนมาแล้วกับหน่วยงานที่สามารถตรวจสอบได้
2. หลักเกณฑ์การพิจารณาชองคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ
2.1 พิจารณาประวัติอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ตั้ง หรือ
มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับหน่วย
งานที่ขออนุญาตดำเนินการสร้าง
2.2 พิจารณาเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
2.3มอบผู้แทนคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลอง
พระพุทธรูปสำคัญ
ไปพิจารณาความเหมาะสมของสถานที่สร้างอนุสาวรีย์
2.4
พิจารณาประวัติและผลงานของประติมากร
3.
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
พิจารณาหลักฐานในข้อ ๒
แล้วจะให้ความเห็นดังนี้
3.1 เห็นชอบในหลักการสร้างอนุสาวรีย์
3.2เห็นชอบสถานที่จัดสร้าง
และตำแหน่งที่ติดตั้งอนุสาวรีย์
3.3เห็นชอบประวัติและผลงานประติมากร
4.4
ให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปดังนี้
4.1 จัดส่งรูปต้นแบบ
(รูปจำลอง) อนุสาวรีย์ที่ทำด้วยขี้ผึ้ง ดินน้ำมัน หรือปูนพลาสเตอร์
ขนาดความสูง ๑๐ – ๑๒ นิ้ว
4.2 จัดส่งแบบแท่นประดิษฐาน
บริเวณใกล้เคียงพร้อมผังบริเวณซึ่งเป็นแบบทาง
สถาปัตยกรรม โดยมีสถาปนิก
และวิศวกรลงนามรับรอง
4.3
จัดส่งร่างคำจารึกอนุสาวรีย์
5. คณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญจะ
พิจารณาและให้ความเห็นชอบการขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ตามหลักฐานในข้อ
๔
6.
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ให้ความเห็นชอบทุกขั้นตอนแล้วจะดำเนินการดังนี้
6.1
ในกรณีที่เป็นอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์
ในมหาจักรีบรมราชวงศ์
จะต้องดำเนินการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติ
โดยให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุญาตสร้างอนุสาวรีย์จัดส่งเอกสารดังนี้
6.1.1
ตารางประกอบการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติตามที่
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนด
(หนังสือที่ นร ๐๒๐๗/ว.๑๔๗
ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๑) จำนวน ๒ ชุด
6.1.2
ภาพถ่ายรูปต้นแบบขนาดโปสการ์ด รูปด้านหน้า ด้านหลัง
ด้านขวา และด้านซ้าย จำนวนด้านละ ๔
ภาพ
6.1.3 แบบแท่นฐาน จำนวน
๔ ชุด
6.1.4
คำจารึกอนุสาวรีย์
เอกสารตามขอ ๖.๑.3 – ๖.๑.๔
ต้องเป็นเอกสารที่คณะกรรมการพิจารณา
การสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ให้ความเห็นชอบแล้ว
6.2
ในกรณีที่พระราชทานพระบรมราชานุญาติ หรือ ไม่ได้รับพระราชทาน
พระบรมราชานุญาติ
กรมศิลปากรจะแจ้งให้ผู้ขออนุญาตสร้างอนุสาวรีย์ทราบ
6.3
เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาติแล้ว จึงจะดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ
อนุสาวรีย์ได้
ซึ่งในการดำเนินการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากรทราบ
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน
7. ถ้าอนุสาวรีย์ที่ขออนุญาตสร้างนั้นไม่ใช่อนุสาวรีย์เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์
และพระบรม
วงศานุวงศ์ในมหาจักรีบรมราชวงศ์
กรมศิลปากรจะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขออนุญาต
สร้างอนุสาวรีย์ดำเนินการต่อไปได้
ซึ่งในการปั้นขยายต้นแบบ จะต้องแจ้งให้กรมศิลปากร
ทราบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกขั้นตอน”